อาชวะ สุขดี
ศิษย์เก่า โครงการพัฒนาเด็ก คริสตจักรเมืองฮอด
เจ้าของกิจการ
“ผมเติบโตมาได้เพราะโอกาส ผมเลยอยากเป็นคนให้โอกาสในวันหน้าต่อไป ซึ่งตัวผมก็ต้องเติบโตขึ้นกว่านี้เพื่อจะส่งมอบให้คนอื่น ๆ ต่อไปได้”
อาชวะ สุขดี หรือ จิ๋ว เติบโตในครอบครัวที่ประกอบไปด้วย พ่อ, แม่, พี่ชาย และน้องชาย ผู้ปกครองทั้งคู่ประกอบอาชีพเกษตรกรเป็นหลักและรับจ้างทั่วไปเป็นงานเสริม เข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของโครงการคอมแพสชั่นประจำคริสตจักรธารน้ำทิพย์ตั้งแต่ช่วงระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ด้วยการชักชวนของเจ้าหน้าที่ในโครงการ
จิ๋วเล่าว่า เขามีความใฝ่ฝันอยากเป็นช่างภาพตั้งแต่ช่วงมัธยมต้นที่ได้เห็นช่างภาพมืออาชีพสะพายกล้องขนาดใหญ่เลนส์ยาว ทำให้ได้รับแรงบันดาลใจในการอยากจะเป็นอย่างนั้นบ้าง จึงตั้งใจว่าจะเรียนต่อระดับมหาวิทยาลัยในคณะนิเทศศาสตร์เพื่อจะสะสมประสบการณ์และพัฒนาความสามารถจนรับงานถ่ายภาพเป็นอาชีพหลักได้ แต่สิ่งที่เขาคาดไม่ถึงเลยคืออนาคตหลังจากนั้นที่เรียกได้ว่าเป็นจุดเปลี่ยนของชีวิตเลยทีเดียว
จุดเปลี่ยนของชีวิตที่จิ๋วเล่าคือโอกาสที่คอมแพสชั่นมอบให้ผ่านงานอบรมของอาจารย์โจ เป็นงานที่จัดขึ้นเพื่อสอนให้เด็กและเยาวชนถ่ายภาพในหัวข้อ “ต่อต้านการทุจริต” โดยได้ร่วมมือกับหน่วยงานรัฐอย่างคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ปปช.) และบริษัทเอกชนอย่างไม้หลักทีม ซึ่งในเวลาต่อมาไม้หลักทีมได้กลายเป็นส่วนหนึ่งที่ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงในชีวิตของเขาอย่างมาก
เมื่อจบมัธยมศึกษาตอนปลาย จิ๋วก็สอบเข้าและเลือกเรียนที่มหาวิทยาลัยแม่โจ้ คณะนิเทศศาสตร์ ตามความตั้งใจเดิมของตัวเองด้วยเสียงสนับสนุนจากครอบครัว แต่ชีวิตก็ไม่ได้ราบรื่นไปเสียทั้งหมด เพราะเมื่อผ่านพ้นช่วงเทอมแรกไป เขาต้องพบกับความจริงที่ว่า ครอบครัวไม่มีเงินส่งค่าเล่าเรียนและค่าใช้จ่ายสำหรับหอพักให้เขาอีกแล้ว จิ๋วเล่าถึงสถานการณ์นั้นว่า “ผมจน… จนทั้งอาหารการกินและอนาคต และไม่รู้เลยว่าจะทำอย่างไรต่อไป” ขณะที่กังวลว่าจะใช้ชีวิตอย่างไรต่อ อ.โจ จากคอมแพสชั่นก็หยิบยื่นความช่วยเหลือโดยการแนะนำงานพิเศษให้ จิ๋วจึงรับงานดูแลสุนัขในฟาร์มเพื่อนำรายได้มาประทังชีวิต นอกจากนี้ยังมีงานรับจ้างทั่วไปอย่างการเข็นผักในตลาดเมืองใหม่จนเขาสามารถใช้ชีวิตผ่านเทอม 2 ไปได้
ช่วงเวลานี้เองที่จิ๋วเกริ่นเล่ามาว่าคอมแพสชั่นได้มอบโอกาสที่เปลี่ยนแปลงชีวิตของเขา โอกาสที่ได้นั้นคือ การรับงานถ่ายภาพที่จิ๋วตั้งใจไว้ว่าจะทำเมื่อเรียนจบมหาวิทยาลัย แต่เขากลับได้เริ่มมันตั้งแต่ตอนนี้ โดยการนำของ อ.โจ จึงทำให้เขาได้เริ่มทำงานกับบริษัทไม้หลักทีมในปี 2 นับว่าเป็นโอกาสที่มาถึงก่อนเวลาและก้าวหน้าไปกว่าเพื่อนรุ่นเดียวกันในการเริ่มเก็บเกี่ยวประสบการณ์การทำงานจริง สิ่งนี้หลายเป็นรายได้ให้เขาสามารถใช้ชีวิตเพื่อเรียนต่อในระดับมหาวิทยาลัยได้และยังนับว่าเป็นโอกาสที่ทำให้เขาได้พัฒนาความสามารถแบบก้าวกระโดดอีกด้วย เขารับงานถ่ายภาพตลอดช่วงปี 2-3 ในรั้วมหาวิทยาลัย ประกอบกับการสมัครเข้าเป็นนักศึกษาทุนในพระราชานุเคราะห์สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ทำให้เขาไม่ต้องกังวลเรื่องค่าเทอมในการศึกษาต่อในปีถัด ๆ ไป ก่อนจะปรับตัวกับงานถ่ายภาพที่ไม่สามารถทำได้ในช่วงโรคระบาดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ด้วยการนำเงินสะสมที่มีอยู่มาลงทุนปลูกผักออร์แกนิกขายในชั้นปีที่ 4
“ชีวิตที่ผ่านมากลายเป็นแรงผลักดันให้กับผม พอนึกถึงวันที่ไม่มีอะไรจะกินจริง ๆ ก็ทำให้ผมพยายามทุกวิถีทางที่จะไม่กลับอยู่ในจุดเดิมอีก” คำกล่าวในวันนี้ของจิ๋วในปัจจุบัน ผู้เพิ่งเรียนจบมหาวิทยาลัยมาเพียงไม่กี่เดือนและกำลังเป็นเจ้าของกิจการทั้ง 3 แห่ง อาจจุดประกายแรงบันดาลใจในการใช้ชีวิตให้กับใครได้อีกหลายคนทีเดียว เขาได้รับแรงกระตุ้นในการพยายามเลี้ยงดูตนเองทางด้านการเงินจนเปิดกิจการทำสตูดิโอถ่ายภาพ ขยายออกเป็นกิจการร้านป้ายไวนิล และกิจการไม้ประดับที่พัฒนาต่อยอดมาจากการขายผักออร์แกนิกสมัยเรียนปี 4 รวมทั้งหมด 3 กิจการมีหน้าร้านอยู่ในอำเภออมก๋อย จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งเป็นบ้านเกิดของเขา ทำให้เขาสามารถเลี้ยงดูตนเองได้
จิ๋วยังคงทำงานอาสารับใช้ในโครงการพัฒนาเด็กที่ทำพันธกิจกับคอมแพสชั่นอย่างสม่ำเสมอ เขามีส่วนในการฟูมฟักเลี้ยงดูชุมชนคริสเตียนโดยช่วงมหาวิทยาลัยเขาสอนน้อง ๆ ในโครงการถ่ายภาพและเป็นตากล้องให้เวลาคริสตจักรมีค่ายอนุชน จนปัจจุบัน จิ๋วก็ยังรับใช้โดยการจัดทำหลักสูตรถ่ายภาพเพื่อสอนแบบออนไลน์ และช่วย อ.โจ ทำสื่อให้ผลิตภัณฑ์ของแต่ละคริสตจักรในโครงการ อีกทั้งยังรับน้องในโครงการเข้ามาฝึกงานในกิจการสตูดิโอถ่ายภาพและร้านไวนิล
เรียกได้ว่าจิ๋วเป็นแรงบันดาลใจให้กับน้องเลี้ยงของเขาในโครงการถึง 3 รุ่น โดยทั้ง 3 คนนั้นสนใจในสายงานเดียวกันกับจิ๋วและขอเข้ามาฝึกงานกับเขาเพื่อพัฒนาฝีมือและเรียนรู้การทำงานอีกด้วย ทางด้านจิ๋วก็กล่าวว่า ตนยินดีสนับสนุนทั้งด้านการสอนและงานจ้างที่มีรายได้ให้ โดยการรับน้อง ๆ เข้าฝึกงานและตั้งใจสอนตามความสนใจของแต่ละคน แม้จะอยู่ในสายงานเดียวกันแต่แน่นอนว่าความสนใจก็ต่างกัน บางคนไปทางถ่ายภาพเลย บางคนก็ไปทางออกแบบงานกราฟิก ซึ่งเขาเองก็อยากผลักดันให้น้อง ๆ ได้งานใหญ่หรืองานระดับประเทศอย่างที่ตัวเองเคยได้โอกาสมา และในอนาคตก็พร้อมมีงานรองรับน้อง ๆ ที่เรียนจบแล้วอยากตั้งใจทำเป็นอาชีพ
“ผมเติบโตมาได้เพราะโอกาส ผมเลยอยากเป็นคนให้โอกาสในวันหน้าต่อไป ซึ่งตัวผมก็ต้องเติบโตขึ้นกว่านี้เพื่อจะส่งมอบให้คนอื่น ๆ ต่อไปได้” จิ๋วกล่าวทิ้งท้ายไว้ว่าเขาจะมองอนาคตของตัวเองให้ยิ่งใหญ่ขึ้น และส่งมอบโอกาสที่ตัวเองสามารถจะให้ได้ต่อไปอย่างแน่นอน